วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปิดตำนานซามูไร


เปิดตำนานซามูไร

ประวัติศาสตร์ ของนักสู้ซามูไร เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เมื่อรัฐบาลฟูจิวาราขุนนางศักดินาอ่อนแอลง จึงไปขอความค้ำจุนจากมินาโมโตกับทาอิรา ซึ่งเป็นเผ่านักรบที่เข้มแข็ง หากทว่าทั้งสองเผ่านี้ก็ไม่ถูกกันและเกิดการปะทะกันเนืองๆ มิหนำซํ้ายังเป็นนักรบเถื่อนที่ไร้วินัย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ดังมีบันทึกหนึ่งจารึกไว้ว่า 
"นักสู้หลายคนถือโอกาสทำการตามใจชอบโดยไม่กลัวเกรงกฎหมาย ซ่องสุมกำลังข่มขู่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตลอดจนราษฎร ยํ่ายีลูกเมียชาวบ้าน ตีชิงเอาสัตว์เลี้ยงไปจากชาวไร่ชาวนา จนไม่อาจทำการเกษตรได้ เที่ยวเดินถือธนูและลูกศรเพ่นพ่านไปทั่วราวกับโจรร้าย"

เมื่อชาวบ้านไม่อาจพึ่งพาให้รัฐคุ้มครองได้ จึงสามัคคีกันจัดตั้งกองกำลังขึ้นรับมือ โดยรวบรวมจากเหล่าเพื่อนบ้าน และลูกหลาน แต่แรกนั้นก็เป็นกองกำลังเล็กๆ มีอาวุธตามมีตามเกิด เพราะตระกูลฟูจิวารา ผู้ปกครองประเทศ คอยกดดันอยู่ พวกชาวบ้านจึงหาทางออกอีกครั้ง ด้วยการไปขอพึ่งบารมีจากขุนนางที่มีอำนาจ ซึ่งเหล่าขุนนางก็พอใจ ที่มีกองกำลังมาสนับสนุน จึงเลี้ยงดูนักสู้เหล่านี้อย่างดี จนมีนักสู้เกิดขึ้นมากมายในนาม "ซามูไร" ซึ่งแปลว่า "ผู้รับสนอง"

นักสู้ซามูไร จะรับใช้เจ้านายโดยตรงของตนแต่ผู้เดียวด้วยความจงรักภักดี กระทำตามคำบัญชาทุกประการโดยไม่มีการลังเลอิดเอื้อน ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคกีดกั้นแม้แต่ความรักเมียหรือลูก เหนืออื่นใดก็คือความ ไม่กลัวเกรงต่อความตายในหน้าที่ต่อผู้เป็นเจ้านาย

ความเป็นอยู่ของซามูไร ก็ขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้านายครับ ถ้านายรวย ซามูไรก็มีม้าขี่ มีเสื้อเกราะอย่างดีที่ทำด้วยเหล็กแถบแคบๆ ผูกเชื่อมติดกันด้วยเชือกหรือลวด มีอาวุธอันทรงอานุภาพ นั่นคือดาบยาวอันคมกริบ ซึ่งซามูไรจะกุมไว้ด้วยสองมือ ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาวุธนี้ชาวบ้านที่มียศศักดิ์ตํ่ากว่าซามูไรจะเอาไปใช้ไม่ได้นะครับ เป็นกฎข้อห้ามที่รู้กันทั่วไป

เมื่อมีขุนนางเลี้ยงดู ชีวิตก็มั่นคง ชาวไร่ชาวนาจำนวนมากจึงวางคันไถ และเข้ามาฝึกฝนอาวุธและการยุทธ์ต่างๆ เพื่อสวามิภักดิ์ขอเป็นซามูไรรับใช้ กาลเวลาผ่านไปก็มีสิ่งอื่น ที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตซามูไร นอก เหนือไปจากดาบและเกราะ นั่นคือวิถีปฏิบัติตนแบบมีวินัย มีกฎภายใต้ชื่อ "บูชิโด" หรือ"วิถีแห่งนักสู้ (The Way Of The Warrior)" ซึ่งซามูไรจะยึดถือเคร่งครัดราวศาสนา สิ่งหนึ่งซึ่งนักสู้ซามูไรถือเป็นคติประจำใจก็คือ

การตายเยี่ยงวีรบุรุษในสงครามนั้น เป็นจุดหมายอันทรงเกียรติสูงสุด!

"ถ้าเจ้าคิดที่จะรักษาชีวิตตนเอง เจ้าก็อย่าออกรบเสียเลยจะดีกว่า" นี่เป็นถ้อยคำที่ซามูไรทุกคนถูกอบรมมา

ถึงกระนั้นก็ตาม ใช่ว่าซามูไรจะละเลยในการรักษาชีวิตของตน ในการออกศึก ซามูไรจะแต่งองค์ ทรงเครื่องครบครัน เพื่อป้องกันอาวุธศัตรู ขั้นตอนการสวมใส่เสื้อเกราะนั้นพิถีพิถันมาก เริ่มแรกจะต้องใส่ชุดชั้นใน ซึ่งมีผ้าเตี่ยวแบบพิเศษ ชุดกิโมโนที่ทำด้วยผ้าลินินอย่างดี กางเกงทรงโปร่งขายาว จากนั้นจึงจะนำเสื้อเกราะเหล็กมาสวมทับ 
แต่สิ่งที่จะคุ้มครองชีวิตได้ดีนั้นก็คงอยู่ที่ฝีมือแหละครับ พวกเขาจึงต้องฝึกต่อสู้กันตลอดทั้งปี ฝึกออกกำลังอย่างหนัก เพื่อให้มีกล้ามเนื้อและพละกำลัง นอกจากจะต้องเก่งกาจในด้านธนูและดาบแล้ว เขาจะต้องทรหดอดทน สามารถ อดทนต่อความหิวโหย ใช้เท้าเปล่ายํ่าหิมะอันเย็นเยือกได้ไกลๆ โดยไม่ ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว

"ในยามที่ท้องของเขาว่างเปล่า มันจะน่าอับอายมาก หากเขาแสดงความหิวโหยให้เห็น"

การต่อสู้นั้นเป็นชีวิตของซามูไร เขาจึงต้องพร้อมอยู่เสมอที่จะจับอาวุธหรือสวมใส่เกราะด้วยความรวดเร็ว

มีตำนานซึ่งเล่าถึงเรื่องของนักสู้หนุ่มผู้หนึ่ง เขาได้ไปกราบกรานขอเป็นศิษย์ซามูไรอาวุโสระดับเกจิอาจารย์ แต่แม้จะฝึกฝนเท่าไรก็ไม่ค่อยคืบหน้า จนในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังหุงข้าว อาจารย์ได้เข้ามาทางด้านหลังและเอาดาบไม้หวดเขาอย่างแรงจนร้องลั่น และหลังจากนั้น ทุกขณะที่เผลอตัว อาจารย์ก็จะเอาดาบหวดเขา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน กระทั่งในที่สุด หนุ่มผู้ประสงค์จะเป็นซามูไร ก็เรียนรู้ในการที่จะระวังรักษาตัวในทุกวินาที และเขาก็ได้เป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง

"ซามูไรจะต้องอยู่และตายโดยมีดาบอยู่ในมือ จงกล้าหาญและพร้อมรบในทุกสถานการณ์" 
ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั้น บางครั้งเมื่อสังหารคู่ต่อสู้แล้ว ซามูไรจะตัดหัวเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก (ในกรณีที่คู่ต่อสู้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่า) ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะมีดาบยาวไว้สำหรับการต่อสู้แล้ว ซามูไรยังมีดาบสั้นไว้สำหรับการนี้ และซามูไรบางคนจะสวมใส่ปลอกคอพิเศษรอบคอ เพื่อกันไม่ให้ศัตรูตัดศีรษะของตน

หมวกเหล็ก (เฮลเม็ท) มีไว้ป้องกันอาวุธ ส่วนหน้า- กากเหล็ก จะออกแบบให้แลดูถมึงทึง ขู่ขวัญคู่ต่อสู้ ซามูไรบางคนจะเผาเครื่องหอม ในหมวกเฮลเม็ท เพื่อว่าเวลาถูกตัดหัว หัวของตนจะได้มีกลิ่นหอมติดไปด้วย

สำหรับกติกาทั่วไประหว่างซามูไรมีว่า ก่อนจะหํ้าหั่นกันนั้น ทั้งสองฝ่ายจะทำความเคารพกัน และแจ้งชื่อของตน ตลอดจนชื่อของบิดา มารดา รวมทั้งวีรกรรมที่ผ่านมาของตนว่า ได้ต่อสู้ชนะใครมาบ้าง พอสังเขป และหลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้ชนะจะกล่าวสรรเสริญความกล้าหาญของผู้แพ้... ก่อนจะตัดเอาหัวไป 
ความนิยมในนักรบซามูไรผู้เก่งกาจ และสุภาพเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขุนนางยศสูงสุดทุกคน ต้องมีซามูไรไว้ประดับบารมี ในศตวรรษที่ 11-18 หรือประมาณ 700 ปีก่อนนั้น พระจักรพรรดิญี่ปุ่นมิได้มีอำนาจแต่อย่างใด ผู้ที่มีอิทธิพลในการปกครองประเทศ ก็คืออัครมหาเสนาบดีที่เรียกกันว่า "โชกุน" ด้วยเหตุนี้ เหล่านักรบซามูไรของโชกุนจึงพลอย มั่งมีศรีสุขในช่วงเวลาหลายร้อยปีนั้นด้วย

กระทั่งล่วงมาถึงราว ค.ศ.1840 อเมริกาและยุโรปเริ่ม แผ่ขยายการค้ามายังเอเชีย แต่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับ อเมริกาจึงส่งเรือปืน 4 ลำ คุมโดยนายพลแม็ทธิว เปอร์รี่ มาบีบบังคับญี่ปุ่นที่อ่าวอูรากา ในการนี้ ซามูไรหลายพันคนได้มาเตรียมพร้อมต่อสู้ หากทว่าดาบ หรือจะสู้ปืนเรืออันทรงอานุภาพได้ ญี่ปุ่นจึงต้องยอมเปิดประเทศ

เมื่ออารยธรรมตะวันตกขยายเข้ามา คนญี่ปุ่นก็เริ่มต้องการ ให้จักรพรรดิทรงมีอำนาจแท้จริง แทนที่จะเป็นหุ่นเชิดของโชกุน และมองเห็นซามูไรที่เดินถือดาบ กร่างไปมาบนถนนนั้นป่าเถื่อน แรงต่อต้านนี้เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดโชกุนก็ต้องลาออก และถวายอำนาจคืนสู่องค์จักรพรรดิในปี ค.ศ.1868

หลังจากนั้นในช่วงแรกๆ ก็ยังคงมีซามูไรเดินถนนให้เห็นอยู่ประปราย กระทั่งมีกฎหมายห้ามพกพาอาวุธในปี 1876 ซามูไรจึงต้องจบบทบาทไปโดยสิ้นเชิง หลายคนขอเข้าเป็นทหารในกองทัพ หลายคนต้องขายเสื้อเกราะและอาวุธให้นักท่องเที่ยวหรือนักค้าของเก่า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากายภาพของนักสู้ซามูไรจะหายไป หากทว่าจิตวิญญาณ "บูชิโด" ยังคงมีอยู่ ในตัวของชายชาติญี่ปุ่นทุกคน และแสดงออกให้เห็นในวาระที่ประเทศชาติต้องการ ดังเช่นฝูงบินกามิ-กาเซ่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังกล่าวแล้ว

ความตายนั้นมิใช่สิ่งที่น่ากลัวแต่อย่างใด... สำหรับพวกเขา. 


 

เรื่องบินรบนินจา

F-22 raptor
          เครื่องบินรบ F-22 RAPTOR คือเครื่องบินที่มีราคาแพงที่สุดอันดับที่สองของโลก (US $350,000,000 ต่อลำ) แต่ถ้าเราพูดถึงเรื่องการปฏิบัติงานโดยรวมแล้ว F-22 RAPTOR นั้นถือได้ว่าเป็นอันดับ หนึ่งในบรรดาเครื่องบินรบทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน F-22 RAPTOR  ถูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดเพียง 145 ลำและมีใช้ภายในกองทัพอากาศของประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงหน่วยงานเดียว
          จุดเด่นของเครื่องบินรบ F-22 RAPTOR คือเป็นเครื่องบินที่มีความสามารถสูงในการหลบหลีกการตรวจจับ ของสัญญานเรดาร์อีกทั้งขีดความสามารถในการรบก็สูงไม่แพ้เครื่องบินรบรุ่นอื่นๆเลย ซึ่งในปี ค.ศ. 2007 ทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาได้ทำการทดสอบบินเครื่อง F-22 RAPTOR เพื่อทดสอบความสามารถในการ รบ และในครั้งนั้นทางกองทัพได้ให้คะแนนไว้ถึง 97% (ผ่าน 102  ใน 105 การทดสอบ)
          F-22 RAPTOR มีห้องเก็บอาวุธอยู่สามห้องภายในตัวเครื่องซึ่งสามารถบันจุอาวุธต่างๆได้หกชิ้นดังนี้ จรวดนำ วิถีระยะไกลสี่ลูกในห้องกลาง และจรวดนำวิถีระยะสั้นในห้องเก็บด้านซ้ายและขวาข้างนะลูก ห้องเก็บกลางที่ บันจุจรวดนำวิถีระยะไกลสี่ลูกสามารถเปลี่ยนไปเก็บลูกระเบิดขนาดกลางได้สองลูก หรือลูกระเบิดขนาดเล็ก แปดลูก การเก็บอาวุธจำเป็นต้องเก็บใว้ภายในตัวเครื่องบินและมีฝาปิดที่มิดชิดเพื่อรักษาสภาพล่องหลไม่ให้ ถูกตรวดพบจากอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ และยังช่วยลดแรงเสียดทานกับอากาศขณะบินได้ ทำให้เครื่องบินแล่น ได้ด้วยความเร็วสูง และประหยัดเชื้อเพลิงซึ่งจะช่วยให้เครื่องบินบินได้นานขึ้น
          F-22 RAPTOR มีห้องเก็บอาวุธอยู่สามห้องภายในตัวเครื่องซึ่งสามารถบันจุอาวุธต่างๆได้หกชิ้นดังนี้ จรวดนำ วิถีระยะไกลสี่ลูกในห้องกลาง และจรวดนำวิถีระยะสั้นในห้องเก็บด้านซ้ายและขวาข้างนะลูก ห้องเก็บกลางที่ บันจุจรวดนำวิถีระยะไกลสี่ลูกสามารถเปลี่ยนไปเก็บลูกระเบิดขนาดกลางได้สองลูก หรือลูกระเบิดขนาดเล็ก แปดลูก การเก็บอาวุธจำเป็นต้องเก็บใว้ภายในตัวเครื่องบินและมีฝาปิดที่มิดชิดเพื่อรักษาสภาพล่องหลไม่ให้ ถูกตรวดพบจากอุปกรณ์ตรวจจับต่างๆ และยังช่วยลดแรงเสียดทานกับอากาศขณะบินได้ ทำให้เครื่องบินแล่น ได้ด้วยความเร็วสูง และประหยัดเชื้อเพลิงซึ่งจะช่วยให้เครื่องบินบินได้นานขึ้น

อนาคอนดา

อนาคอนดา
โดยรวมแล้วงูอนาคอนดาที่มีหัวขนาดใหญ่และลำคอหนา ตาและรูจมูกอยู่ที่ส่วนบนของหัว ทำให้สามารถหายใจและมองเห็นเหยื่อในขณะที่อยู่ใต้น้ำได้ ฆ่าเหยื่อโดยใช้ลำตัวบีบรัด เป็นงูที่ไม่มีพิษ แต่ยังมีฟันและขากรรไกรที่แข็งแรงที่ใช้กัดเหยื่อ โดยจะคา   เหยื่อแล้วลากลงไปในน้ำเพื่อให้เหยื่อจมน้ำตาย
ด้วยความที่มีน้ำหนักมากทำให้เมื่ออยู่บนบกงูอนาคอนดาจะเคลื่อนไหวได้ช้าและงุ่มง่ามมาก แต่จะเคลื่อนไหวได้ดีและรวดเร็วผิดกับรูปร่างเมื่ออยู่ในน้ำ ในบางครั้งอาจลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่บนผิวน้ำปล่อยให้กระแสน้ำพัดไป

สุนัขแห่งขั้วโลกเหนือ


อลาสกา มาลามิว


 อลาสกา มาลามิว เป็นสุนัขแห่งขั้วโลกเหนือที่ได้รับการพัฒนาให้มีความแข็งแกร่งและอดทนมากกว่าที่จะให้มีความเร็วเหมือนสุนัขบางพันธุ์ที่มีรูปร่างเล็กกว่าที่ใช้งานในเขตหนาว มีขนหนา 2 ชั้น ทำให้สามาถทนต่อภูมิอากาศที่หนาวเย็นและพายุหิมะของขั้วโลกได้อย่างดี โดยขนชั้นนอกจะหยาบหนาและยาวที่สุดบริเวณไหล่รอบคอจนถึงหลังปกคลุมขนชั้นในที่อ่อนนุ่มและมีน้ำมันจากใต้ผิวหนังมาหล่อเลี้ยง
ประวัติ : ตั้งชื่อตามชื่อชนเผ่ามัลอีมัท ซึ่งเป็นชาวอินเดียที่อยู่ทางตอนเหนือของรัฐอลาสกา เนื่องจากเป็นเผ่าเร่รอ่นจึงใช้สุนัขในการลากเลื่อนขนสัมภาระเมื่อจะย้ายถิ่นฐาน

 สีขน : สีขนอาจพบตั้งแต่สีเท่าอ่อนจนถึงสีเทาดำ และสีเหลืองทองออมแดง หรือสีทองอมสีน้ำตาลปนแดงก็ได้

ข้อสังเกต : เนื่องจาก อลาสกา มาลามิว เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ และมีพละกำลังมาก จึงต้องฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข

การเลี้ยงดู สุนัข อลาสกา มาลามิว

          การเลี้ยงสุนัข ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์แท้หรือพันธุ์ทางชนิดใดก็ตามก็ย่อมประสบความยุ่งยากลำบากเท่า ๆ กัน แต่ำสหรับสุนัขที่มีคุณภาพสูงจอต้องอาศัยการดูแลรักษาเอาใจใส่มากกว่าสุนัขพันธุ์ผสมธรรมดาโดยทั่วไปอย่างแน่นอน ดังนั้น ความเข้าใจที่ว่าการเลี้ยงสุนัขโดยปล่อยไปตามเรื่องตามราวของมัน จะทำให้สุนัขชินกับอากาศจะไม่มีการเจ็บป่วยเลย จึงเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก

          การเลี้ยงสุนัขพันธุ์อลาสกา มาลามิว นั้น สำหรับผู้ที่เคยเลี้ยงพันธุ์อื่น ๆ มาแล้วคงไม่เป็นการยุ่งยากสักเท่าไหร่ เพราะว่าพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่สอนง่าย ข้อดีมาก ๆ ก็คือ ไม่ซน ไม่ทำลายสิ่งของในบ้าน แต่ควรได้รับการฝึกขั้นพื้นฐานตั้งแต่อายุได้ 60 วัน เช่น การขับถ่ายให้เป็นที่ การจำกัดบริเวณในบางเวลาก็มีความสำคัญมากในการฝึกให้ลูกอลาสกาเชื่อฟังคำสั่งตั้งแต่ยังเด็ก

          ในเรื่องการให้อาหาร ปกติจะเหมือนสุนัขพันธุ์ใหญ่ทั่ว ๆ ไป ข้อควรระวังในสุนัขพันธุ์นี้คือ ช่วงอายุ 5 เดือนขึ้นไป น้ำหนักตัวของ อลาสกา มาลามิว จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ ทั้งมีปัญหาในการรับน้ำหนักอันเนื่องมาจากกระดูกโตช้ากว่า ควรระวังให้มากเวลาเล่นกับเค้า เพราะบางครั้งเจ้าของลืมไปว่าสุนัขยังเด็ก ปัญหาที่พบมากก็คือ ขาเจ็บ เนื่องจากเล่นกับเจ้าของหรือเล่นกับสุนัขตัวอื่น ถึงแม้จะตัวใหญ่ แต่ยังไม่ถึงวัยโตเต็มที่ ผู้เลี้ยงจึงควรระวังให้มาก










วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

"เสือ" แต่ละสายพันธุ์

เสือโคร่ง

        รูปร่างลักษณะ        เสือโคร่งเป็นเสือขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเสือ ลำตัวมีสีเทาแกมเหลืองหรือน้ำตาลอมเหลือง แต่ละตัวจะมีลายแถบปรากฎบนหลังและด้านข้างของลำตัวต่างกัน ขนใต้ท้อง คาง และคอ เป็นสีขาว ขนเหนือตาสีขาวและมีแถบสีดำ หางมีแถบดำเป็นบั้งๆ ตั้งแต่โคนหางถึงปลายหาง ไม่เคยมีรายงานเสือโคร่งดำ แต่มีรายงานเสือโคร่งเผือก เสือโคร่งตัวผู้ขนาดใหญ่อาจมีขนาดน้ำหนักมากกว่า 300 กิโลกรัม
ถิ่นที่อยู่มีการกระจายจากแถบไซบีเรียถึงทะเลสาบแคสเปียน อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะสุมาตรา หมู่เกาะชวา และแถบบาหลี แต่ไม่เคยมีรายงานการพบเสือโคร่งบนเกาะบอร์เนียว
          พฤติกรรม          เสือโคร่งชอบอาศัยใกล้แหล่งน้ำหรือที่มีร่มเงาให้หลบแสงแดด เพราะมันไม่ชอบอากาศร้อน เสือโคร่งจึงมักอาศัยในป่าทึบอากาศเย็นและใช้พักผ่อนได้ในเวลากลางวัน เสือโคร่งชอบอาบน้ำและว่ายน้ำ ในวันที่มีอากาศร้อน เสือโคร่งใช้เวลาหลายชั่วโมงในแอ่งน้ำ เสือโคร่งไม่ชอบปีนต้นไม้  แต่ก็ปีนได้ ถ้าจำเป็น
         เสือโคร่งออกล่าเหยื่อตอนเย็นและล่าทุกอย่างที่กินได้ ตั้งแต่ปลา เต่า เม่น หรือแม้แต่เสือโคร่งด้วยกันเอง ในประเทศไทย เสือโคร่งชอบล่าหมูป่าและกวางเป็นอาหาร เสือโคร่งจะไล่เหยื่อประมาณ 10-20 เมตรแล้วจึงเข้าตะครุบเหยื่อจากทางด้านหลังหรือด้านข้าง เสือโคร่งเริ่มกินเหยื่อตรงสะโพกก่อน ตามปกติมันต้องการอาหารวันละประมาณ 6-7 กิโลกรัม
        เสือโคร่งที่อายุมาก เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ ถ้าเกิดได้ลองกินคนแล้วอาจติดใจ เพราะสามารถล่าและฆ่าได้ง่าย แต่ตามธรรมชาติ เสือโคร่งไม่ชอบเข้าใกล้คน
         เสือโคร่งชอบอยู่สันโดษ ไม่ค่อยพบว่าอยู่เป็นคู่ ถ้าพบเป็นกลุ่มก็จะเป็นแม่เสือโคร่งและลูกๆ ในฤดูผสมพันธุ์ เสือโคร่งตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังและบ่อย เสือโคร่งใช้เวลาตั้งครรภ์ประมาณ 100-105 วัน ออกลูกครั้งละ 1- 5 ตัว แม่เสือโคร่งเลี้ยงลูกประมาณ 2 ปี โดยลูกตัวเมียจะอยู่นานกว่าลูกตัวผู้





เสือชีตาห์

          รูปร่างลักษณะ
เสือชีตาห์เป็นเสือที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดชนิดหนึ่งไม่น้อยหน้าสิงโตและเสือโคร่ง ด้วยรูปร่างที่สง่างามน่าแปลกกว่าเสือชนิดอื่น และประกอบกับการเป็นเจ้าของสถิติสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงแทบไม่มีใครไม่รู้จักเสือชีตาห์
เสือชีตาห์เป็นเสือค่อนข้างเล็ก ในเซเรนเกตตี น้ำหนักเฉลี่ยของเสือชีตาห์ตัวผู้คือ 43 กิโลกรัม และตัวเมีย 38 กิโลกรัม รูปร่างต่างจากเสือชนิดอื่นมาก รูปร่างผอมเพรียว ดูเผิน ๆ เหมือนหมาพันธุ์เกรย์ฮาวนด์ สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองทองและมีจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัว ใต้ท้อง ด้านล่างของขา คอ คาง และริมฝีปากบนสีขาว ที่ใกล้ปลายหางจุดจะกลายเป็นปล้องดำประมาณ 6 วง ปลายหางสีขาว ใบหน้ามี "เส้นหยาดน้ำตา" สีดำพาดจากหัวตาลงมายังมุมปากเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร หนวดค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับเสือโคร่ง ละเอียด อ่อน จึงไม่มีหน้าที่ช่วยในการล่าแต่อย่างใด ใบหูดำ โคนหูและขอบใบหูสีน้ำตาลอมเหลือง เล็บนิ้วโป้งอยู่สูงเด่นจากนิ้วอื่น ใช้ในการเกี่ยวขาเหยื่อที่กำลังวิ่งหนี บริเวณท้ายทอยและหลังมีขนยาวคล้ายแผงคอของสิงโต บางตัวจะยาวมาก
          ถิ่นที่อยู่
          เสือชีตาห์อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าในพื้นที่ประเภทกึ่งซาฮารา ป่าไม้พุ่ม ไม้แคระ ป่าละเมาะ พบบ้างในป่าไมออมโบซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในแอฟริกาตอนกลาง แต่ไม่พบในแนวป่าซาวันนาซูดาโน-กีเนียนซึ่งอยู่ในตะวันตก ลักษณะที่อยู่อาศัยที่เสือชีตาห์ชอบมากที่สุดอาจจะเป็นทุ่งหญ้าสลับป่าเนื่องจากการล่าในพื้นที่แบบนี้ใช้พลังงานน้อยกว่าการล่าในทุ่งหญ้าอย่างเดียว พื้นที่ที่เสือชีตาห์ไม่ชอบคือท้องทะเลทรายที่กว้างใหญ่ และป่าทึบ แม้ไม่ชอบอยู่ตามภูเขาสูง แต่ก็เคยพบในที่ได้สูงถึง 1,500 เมตรในเทือกเขาเอธิโอเปีย ตามเทือกเขาแอลจีเรีย ชาด มาลี ไนเจอร์ เคยพบที่ระดับสูงถึง 2,000 เมตร
          พฤติกรรม
ในแอฟริกา เสือชีตาห์มักหากินตอนกลางวัน สาเหตุเนื่องจากการล่าของเสือชีตาห์จำเป็นต้องมองเห็นสภาพพื้นที่ที่ล่าได้ชัดเจน และเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่าชนิดอื่นที่หากินตอนกลางคืนมากกว่า เคยพบเสือชีตาห์กินซากบ้าง และบางครั้งก็เป็นการกลับมาเอาเหยื่อที่ตนเองเป็นผู้ล่าที่ถูกแย่งไปทิ้งไปแล้ว แต่กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ในพื้นที่ปศุสัตว์ในนามีเบียซึ่งสิงโตและไฮยีนาหายไปแล้วพบว่า หากสัตว์ที่ล่ามามีขนาดใหญ่ กินคราวเดียวไม่หมด เสือชีตาห์มักอยู่ไม่ไกลจากเหยื่อนั้นแทนที่จะทิ้งไป
การล่าของเสือชีตาห์ จะย่องเข้าไปใกล้เยื่อจนอยู่ในระยะประมาณ 30 เมตร แล้วพุ่งออกไปไล่กวดเหยื่อ การไล่กวดจะกินเวลาประมาณ 20-60 วินาที เมื่อไล่จนทันก็จะใช้ขาหน้าปัดขาหลังของเหยื่อเพื่อให้คะมำล้มลง ความจริงการปัดนี้เป็นการเกี่ยวด้วยเล็บนิ้วโป้งซึ่งอยู่สูงจากอุ้งตีน เมื่อเหยื่อล้มลงแล้วจึงลงมือฆ่าโดยกัดหลอดลม ทำให้เหยื่อขาดใจตาย เสือชีตาห์มีโพรงจมูกใหญ่กว่าเสือชนิดอื่นเพื่อให้หายใจได้ง่ายขณะต้องกัดคอเหยื่อ เมื่อฆ่าเหยื่อได้แล้ว เสือชีตาห์ต้องพักเอาแรงอีกสักครู่จึงจะมีแรงกินได้ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เสี่ยงและมักต้องเสียเหยื่อให้สัตว์ผู้ล่าชนิดอื่นเช่นสิงโตและไฮยีนา
                เสือดาว
รูปร่างลักษณะ
เสือดาวมีเขตกระจายพันธุ์กว้างขวางมากและมีลักษณะถิ่นที่อยู่อาศัยหลากหลาย เสือดาวในแต่ละพื้นที่จึงมีลักษณะภายนอกแตกต่างกันมาก เสือดาวในป่าโปร่งหรือทุ่งหญ้ามักมีพื้นสีเหลืองทองหรือน้ำตาลแดง เสือดาวในทะเลทรายมีสีครีมซีดจนถึงน้ำตาลเหลือง เสือดาวในบริเวณที่หนาวเย็นจะมีสีเทามากกว่า ส่วนเสือดาวในป่าฝนจะมีสีน้ำผึ้งเข้ม และเสือดาวบนภูเขาสูงมีสีคล้ายเสือดาวในป่าฝนแต่เข้มกว่า เสือดาวที่อยู่ในเขตหนาวเช่นเสือดาวพันธุ์อามูร์มีการเปลี่ยนสีตามฤดูกาลด้วย โดยจะมีสีซีดที่สุดในฤดูหนาว
ถิ่นที่อยู่
เสือดาวเป็นเสือที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุด เขตกระจายพันธุ์กว้างขวางที่สุด สามารถอาศัยอยู่ได้ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่ทะเลทรายจนถึงป่าฝน ตั้งแต่แอฟริกา เอเชียตะวันออกกลาง เรื่อยไปจนถึงจีน และไซบีเรีย รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยมีผู้พบซากเสือดาวอยู่ที่ระดับสูงสุดถึง 5,700 เมตรในเทือกเขาคีรีมันจาโร
พฤติกรรม
เสือดาวเป็นนักล่าที่แข็งแกร่ง และเป็นนักปีนต้นไม้ชั้นยอด มีกล้ามเนื้อขาและคอแข็งแรงมาก มันสามารถลากแอนติโลปขนาดใหญ่หรือแม้แต่ลูกยีราฟที่อาจหนักกว่ามันเองถึงสองสามเท่าขึ้นไปกินบนต้นไม้ได้ เสือดาวไม่ค่อยชอบน้ำนักแต่ก็ว่ายน้ำได้ดี ส่วนใหญ่มักชอบออกหากินตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงใกล้รุ่ง ในบางครั้งก็อาจหากินในเวลากลางวันได้โดยเฉพาะในพื้นที่ ๆ ไม่มีมนุษย์รบกวน และตัวเมียที่เลี้ยงลูกก็มักต้องออกหากินบ่อยครั้งกว่าปกติจนต้องมีการหากินในเวลากลางวันด้วย ในเวลากลางวันที่ร้อนอบอ้าว เสือดาวมักปีนขึ้นไปพักผ่อนบนต้นไม้ หรือตามพุ่มไม้ หรือหรือหลืบหิน

เสือพูมา

         รูปร่างลักษณะ
         แม้จะดูตัวใหญ่อย่างเสือ แต่เชื่อว่าเสือพูมามีสายเลือดใกล้ชิดแมวมากกว่า ไม่มีกระดูกไฮออยด์ยืดหยุ่นและไม่มีสายเสียงขนาดใหญ่ดังที่มีในสัตว์ในสกุล Panthera แม้พูมาจะคำรามไม่ได้ แต่ก็เปล่งเสียงได้หลายแบบ และทั้งตัวผู้กับตัวเมียก็มีเสียงต่างกัน
เสือพูมาตัวผู้หนักหนักเฉลี่ย 53-72 กิโลกรัม เคยพบตัวที่ใหญ่เป็นพิเศษ หนักถึง 120 กิโลกรัม ตัวเมียน้ำหนักเฉลี่ย 34-48 กิโลกรัม พูมาที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมักตัวเล็กกว่าตัวที่อยู่ใกล้ขั้วโลก มีอุ้งตีนใหญ่ ขาหลังยาว เทียบสัดส่วนต่อขาหน้าแล้ว พูมามีขาหลังยาวที่สุดในบรรดาเสือและแมวทั้งหมด ไม่มีลวดลาย มีสีสันหลากหลายมาก ตั้งแต่สีเนื้ออ่อน น้ำตาลแดง จนถึงสีเทาอ่อน แม้แต่พี่น้องในครอกเดียวกันก็อาจมีสีต่างกัน ขนสั้นและหยาบ บริเวณแนวสันหลังสีเข้มกว่าบริเวณอื่นเล็กน้อย บริเวณหน้าอก หน้าท้อง และด้านในของขาทั้งสี่สีซีด ต้นขาหน้าอาจมีเส้นแนวนอนจาง ๆ มีวงรอบปากสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ พื้นที่รอบปากภายในวงรอบปากสีขาวหรือซีด หัวค่อนข้างเล็ก ม่านตามีสีหลายแบบตั้งแต่เหลืองอมเขียวจนถึงน้ำตาลอมเหลือง หูสั้นกลม หลังใบหูสีเทาหรือดำ ขาหน้าอุ้งตีนกว้าง หางยาวเรียว สีเข้มขึ้นไปตามความยาวหางจนถึงปลายหาง เสือพูมาที่พบในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มีขนาดเล็กกว่าที่พบในอเมริกาเหนือ และพวกที่อยู่ทางเหนือและตามภูเขาสูงมักมีขนยาวกว่า
พูมาดำแบบเมลานิซึมพบได้บ่อย พูมาเผือกมีบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ลูกพูมามีลายจุดทั้งตัวและตาสีฟ้า
         ถิ่นที่อยู่

         เสือพูมามีเขตกระจายพันธุ์ครอบคลุมตามแนวละติจูดกว้างที่สุดในบรรดาสัตว์ตระกูลเสือและแมวทั้งหมด พบได้ตั้งแต่บริติชคอลอมเบียในแคนาดาจนถึงปลายล่างสุดของทวีปอเมริกาใต้ อาศัยได้ในพื้นที่หลายชนิด ตั้งแต่ป่าพืชเมล็ดเปลือย ป่าเบญจพรรณ ป่าเขตร้อน ป่าบึง ทุ่งหญ้า พื้นที่กึ่งทะเลทราย ทางระดับความสูงพบตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 5,800 เมตร

         พฤติกรรม


         เสือพูมาทำเครื่องหมายบอกเขตแดนด้วยรอยข่วนและการพ่นเยี่ยวเป็นฝอย เดินทางเก่ง มักพบว่าเดินทางเป็นระยะทางถึง 16 กิโลเมตรภายในไม่กี่ชั่วโมง
เสือพูมาเป็นนักกระโดดและปีนป่ายชั้นยอด แม้จะไม่ค่อยชอบน้ำแต่ก็ว่ายน้ำได้เก่ง สายตาและหูดีมาก แต่จมูกไม่ค่อยไวนัก ส่วนใหญ่หากินกลางคืนเพียงตัวเดียว มักหากินตอนเช้ามืดและตอนหัวค่ำ โดยตระเวณหาเหยื่อเป็นพื้นที่กว้าง การล่าใช้วิธีย่องเข้าหาและกระโจนลงบนหลัง หรือพุ่งเข้าใส่ในระยะประชิด สัตว์ที่เป็นอาหารของเสือพูมาได้แก่ มูส กวางวาปิตี กวางแคริบู บีเวอร์ เม่น กระรอกดิน มาร์มอต พากา อะกูตี กระต่ายป่า แรกคูน ไคโยตี โอพอสซัม หมูป่า กัวนาโก หนูชนิดต่าง ๆ รวมถึงค้างคาวและตั๊กแตน บางครั้งก็เข้ามาล่าสัตว์เลี้ยงอย่างแกะ วัว และม้าด้วย พูมาในอเมริกาเหนือมักล่าสัตว์กีบขนาดใหญ่มากกว่าสัตว์เล็ก ส่วนทางใต้ลงมา พูมามีแนวโน้มจะเลือกสัตว์เล็กมากกว่า
เมื่อเสือพูมากินเหยื่อขนาดใหญ่ไม่หมด จะคลุมเหยื่อด้วยกิ่งไม้ใบไม้หรือเศษสิ่งของต่าง ๆ ที่หาได้ และจะไม่ไปไหนไกลจากเหยื่อ เพื่อกลับมากินอีกครั้งในคราวหลัง บางครั้งอาจกินซากที่ล่าโดยสัตว์อื่นด้วย แต่กรณีเช่นนี้พบได้ยาก



จากัวร์

         รูปร่างลักษณะ
เสือจากัวร์เป็นเสือที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกา ชื่อ “จากัวร์” เพี้ยนมาจากชื่อในภาษาอินเดียนแดงว่า “yaguara” มีความหมายว่า สัตว์ร้ายที่ฆ่าเหยื่อด้วยการกระโจนตะครุบครั้งเดียว ชนเผ่าในอเมริกากลางและอเมริกาใต้หลายเผ่าใช้เสือจากัวร์เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจของวัฒนธรรมตน
เสือจากัวร์มีลักษณะคล้ายเสือดาวมาก มีขนสั้นเกรียน สีพื้นตั้งแต่เหลืองทอง น้ำตาลอมเหลือง จนถึงน้ำตาลแดง บริเวณหัว คอ และขามีลายเป็นจุดดำ หลังและสีข้าง มีลายดอกคล้ายเสือดาว ลายดอกอาจขาดไม่เต็มวง กลางดอกมีจุดดำหนึ่งจุดหรือมากกว่า ปากกว้าง ม่านตามีสีหลากหลายตั้งแต่สีเหลืองทองจนถึงเหลืองอมเขียว หูค่อนข้างเล็ก สั้น และกลม หลังหูดำมีแต้มสีขาวกลางใบหู ขาสั้นและใหญ่ อุ้งตีนกว้าง หางค่อนข้างสั้นและหนา มีจุดทั่วทั้งหาง ปลายหางดำ ลำตัวยาว 120-180 เซนติเมตร น้ำหนัก 70-120 กิโลกรัม จากัวร์ดำก็พบได้บ่อย ส่วนจากัวร์เผือกมีบ้างแต่ไม่มากนัก
 ถิ่นที่อยู่
เสือจากัวร์ชอบน้ำเป็นพิเศษ อาศัยในป่าใกล้แม่น้ำ ทะเลสาบ หรือลำธาร และยังพบในที่ราบหรือทุ่งหญ้าที่น้ำท่วมในฤดูน้ำหลากด้วย เช่นที่ปันตานัลในบราซิลและยาโนสในเวเนซุเอลา ทุ่งปัมปัส บางครั้งก็พบหากินในป่าไม้แคระและทุ่งหญ้าด้วย ปกติจากัวร์ชอบที่ต่ำมากกว่าบนป่าเขา ไม่เคยพบในที่ราบสูงของเม็กซิโก อย่างไรก็ตามเคยพบเสือจากัวร์ที่ระดับสูงสุดถึง 3,800 เมตรในคอสตาริกา ส่วนในเทือกเขาแอนดีสเคยพบจากัวร์ที่ระดับสูงถึง 2,700 เมตร


พฤติกรรม
เสือจากัวร์ว่ายน้ำและปีนต้นไม้ได้คล่องแคล่ว แม้เรื่องปีนป่ายจะไม่เก่งเท่าเสือดาว แต่ก็สามารถจับลิงบนกิ่งไม้ที่ไม่สูงนักได้ อย่างไรก็ตาม จากัวร์มักหาเหยื่อบนพื้นดินมากกว่า มีสัตว์มากกว่า 85 ชนิดที่อยู่ในเมนูประจำของจากัวร์ อาหารโปรดมักเป็นสัตว์ใหญ่อย่างสมเสร็จ หมูป่าเพ็กคารี กวาง แต่หากจำเป็นก็กินได้ไม่เลือก เช่น อะกูตี คาปิบารา สลอท ลิง สกังก์ เม่น โคแอตี นาก อาร์มาดิลโล นก เคแมน อีกัวนา งู เต่า และปลา ในบราซิลและเวเนซุเอลามีการทำฟาร์มเปิดหลายแห่งที่ใกล้เขตหากินของจากัวร์ ทำให้สัตว์เลี้ยงตกเป็นอาหารของจากัวร์ไปด้วย หากจากัวร์กินอาหารไม่หมดในคราวเดียว มันมักเอาเหยื่อไปซ่อนเพื่อจะกลับมากินต่อในคราวหลัง


                                                                                                                                                       


ประวัติของฉัน

ชื่อ : นายอนุวัฒน์  สิงห์แก้ว    (Anuwat  Singkaew)
ชื่อเล่น :  นิก
เกิด :  วันอังคาร ที่ 17  มีนาคม  พ.ศ. 2530
บิดา :  นายอนุสรณ์  สิงห์แก้ว  อาชีพ  รับราชการครู
มารดา :  นางนงเยาว์  สิงห์แก้ว  อาชีพ  รับราชการครู
ที่อยู่ :  2 หมู่ 2  ตำบลน้ำปลีก   อำเภอเมือง   จังหวัดอำนาจเจริญ   37000
อีเมล์ :  rok_the_knight@hotmail.com
การศึกษา  :  - ประถมศึกษาโรงเรียนชุมชนบ้านน้ำปลีก  ต.น้ำปลีก  อ.เมือง   จ.อำนาจเจริญ
                       - มัธยมศึกษาโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช  อ.เมือง  จ.อุบลราชธานี
                       - ปริญญาตรีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี  คณะบริหารศาสตร์  สาขาระบบสาระสนเทศเพื่อการจัดการ  จ.อุบลราชธานี
คติประจำใจ :  เป็นคนดี  มีวินัย  ใฝ่คุณธรรม  นำประชาธิปไตย  ใส่ใจคนรัก  กินผักมากๆ  ร้องกร๊ากเมื่อตลก  สกปรกเมื่อเล่น  วิ่งเผ่นเมื่อกลัว  ไม่ทำชั่วเพื่อตัวเอง  ไม่ขบเหงผู้ใด  โกรธเป็นไฟยามหึง  เป็นที่พึ่งเมื่อเพื่อนมีภัย
ความใฝ่ฝัน :  อยากเป็นนายกรัฐมนตรี